“ป่าไม้ให้ร่มเย็น อีกทั้งเป็นแหล่งทรัพย์น้ำ ต้นไม้เป็นสินค้า น้ำ-ดิน-ฟ้า เป็นผลพลอยได้ รักเถิดช่วยรักษา ปกป้องป่าให้พ้นภัย ถ้าขาดซึ่งป่าไว้ ประชาไทยคงล่มจม” - สืบ นาคะเสถียร 2518
หนึ่งในใจความสำคัญจากคำขวัญป่าไม้ของ สืบ นาคะเสถียร ถือว่าเข้ากับสถานการณ์ไฟป่าที่ภูกระดึงเป็นอย่างมาก แม้ว่าชนวนเหตุไฟไหม้ในครั้งนี้จะยังไม่สามารถระบุชัดเจนได้ว่า เกิดจากฝีมือของคนหรือเป็นฝีมือของธรรมชาติ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นทำเอาความอุดมสมบูรณ์ของอุทยานแห่งชาติภูกระดึงแห่งนี้สั่นคลอนไม่น้อย
อุนทยานแห่งชาติภูกระดึงขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ความเสียหายจากไฟป่าครั้งนี้กินพื้นของป่าไปถึง 3,400 ไร่ นับว่าเป็นไฟป่าที่หนักที่สุดในรอบ 40 ปีเลยก็ว่าได้ ความเสียหายกินพื้นที่เป็นวงกว้างและกว่า 18 ชั่วโมงที่เจ้าหน้าที่ต้องต่อสู้กับความร้อนจากเปลวไฟ เขม่าควันไฟ หรือแม้แต่อากาศที่ไม่เป็นใจ เปลวไฟยังได้ลุกลามเข้าไปเผาไหม้ป่าสนที่มีอายุมากกว่า 100 ปี จนได้รับความเสียหาย
เหตุการณ์ไฟไหม้ป่าในครั้งนี้ที่ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะส่งผลกระทบในระยะยาวกับระบบนิเวศและความสมดุลของอุทยานแห่งชาติภูกระดึงมากน้อยเพียงใด และคงจะจริงดั่งคำขวัญของสืบในประโยคที่ว่า
“ถ้าขาดซึ่งป่าไว้ ประชาไทยคงล่มจม” มนุษย์เราไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไร้ซึ่งป่า ไม่สามารถคงอากาศบริสุทธิ์เอาไว้โดยไม่พึ่งพิงต้นไม้ ป่าเปรียบเสมือนลมหายใจของมนุษย์และสัตว์ที่อยู่ร่วมกันในระบบนิเวศ คงต้องใช้เวลานานอีกหลายสิบปีกว่าป่าแห่งนี้จะฟื้นฟูและกลับมาอุดมสมบูรณ์ได้ดังเดิม ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องปกป้อง และ saveผืนป่าเอาไว้ ไม่เพียงแต่เฉพาะภูกระดึงเท่านั้น แต่รวมไปถึงผืนป่าทุกพื้นที่ในประเทศ
จงตระหนัก อนุรักษ์ ไม่ทำลาย ไม่แผ้วถาง ไม่เผาไหม้ เพื่อคงไว้ซึ่งอากาศบริสุทธ์ ลมหายใจของมนุษย์และสัตว์ให้ดำรงอยู่ได้สืบไป