ความคิดของเด็กไทยถูกกดไว้ในกรอบที่ผู้ใหญ่เขียนขึ้นมา
ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันความกล้าแสดงออก การมีส่วนร่วม หรือความมั่นใจ สิ่งเหล่านี้เด็กไทยหลายคนไม่สามารถข้ามมันไปได้ เนื่องจากในอดีตคนไทยมักปลูกฝังให้เด็กเชื่อคำพูดผู้ใหญ่เสมอ เมื่อขัดแย้งหรือต้องการออกความคิดเห็นจะถูกตำหนิทันที เพราะเชื่อว่าหากทำตามคำสอน หมาจะไม่กัด เนื่องจากผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน จึงทำให้เด็กไทยซึมซับมาเรื่อยๆ
หากได้รับการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง แน่นอนว่าจะส่งผลดีในด้านจิตใจ ด้านสมอง และจะทำให้เด็กไทยในอนาคตจะเติบโตเป็นคนที่มีคุณภาพ และฉลาดในการดำรงชีวิต ไม่ใช่เพียงแต่เกิดขึ้นภายในสถาบันครอบครัวเท่านั้น แม้แต่ในสถาบันการศึกษา การตีกรอบความคิดให้เด็กก็เกิดขึ้นได้โดยครูผู้สอน เมื่ออยู่ในโรงเรียนคุณครูให้แสดงออกความคิดเห็น เด็กๆ มักจะไม่กล้ายกมือตอบ เพราะไม่มีความมั่นใจ เนื่องจากพวกเขาคิดเสมอว่าหากพูดไปนั้น กลัวผิดแล้วจะถูกตำหนิ หรืออยากตอบแต่กลัวเป็นจุดเด่น เป็นเป้าสายตาของเพื่อนๆ กลัวถูกการนินทา และทำให้เด็กไม่กล้าออกความคิดเห็น ไม่ได้พูดในสิ่งที่ตนคิด จิตใจพวกเขาจะถูกกดทับ ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ต้องถูกกดให้ทำตามเท่านั้น ทำให้ภาวะจิตใจเขากลายเป็นเด็กก้าวร้าว หรือตรงกันข้ามกลายเป็นเด็กเก็บกด ซึ่งจะส่งผลกระทบด้านจิตใจเป็นหลัก และพัฒนาการทางด้านสมองอีกด้วย
ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปหากได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นคุณครูหรือครอบครัว ควรส่งเสริมให้เด็กกล้าพูด กล้าแสดงความเห็นต่าง ให้พวกเขาเหล่านั้นได้พัฒนาทางด้านสมองและจิตใจที่เป็นส่วนสำคัญ การกล้าแสดงออกเป็นเรื่องที่ดี ไม่ใช่เรื่องที่ผิด และไม่ใช่เรื่องที่น่าอับอาย ข้อดีของการพูดที่ในสิ่งที่คิด จะส่งผลให้เรามีความกล้ามากขึ้น กล้าลงมือทำในสิ่งที่ไม่เคยลอง กล้าออกมาตั้งคำถาม
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้กล่าวไว้ว่า“Learn from yesterday , Live for today , Hope to tomorrow and don’t stop questioning”
คำตอบทำให้เราหายข้องใจ แต่สิ่งที่เป็นเหตุผลทำให้เรามีชีวิตอยู่ต่ออย่างมีความหมายคือการไม่หยุดตั้งคำถามต่อชีวิต
ฉะนั้นจงอย่ากลัวที่จะรู้ แต่จงกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ เพราะมีแต่คนโง่เท่านั้นที่ไม่รู้อะไรเลย