เหยียดผิวเนื้อร้ายใต้พรมลูกหนัง

เหยียดผิวเนื้อร้ายใต้พรมลูกหนัง

ในวงการลูกหนังกับการเหยียดผิวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน ซึ่งในช่วงแรกๆ ปัญหาของการเหยียดสีผิว และเชื้อชาติ เกิดขึ้นในฟุตบอลอาชีพของประเทศอังกฤษ ระหว่างปลายศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 แต่หากจะมองภาพของการเหยียดสีผิวของเพื่อนร่วมอาชีพกันเองนั้น เริ่มมีการพูดถึงเรื่องนี้กันอย่างมากขึ้นในช่วง ค.ศ.1970 และหลังจากนั้นปัญหาเหล่านี้ก็กลายเป็นเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน...

 
โดยในปี 2018 Kick It Out องค์กรการกุศลที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อต่อสู้กับปัญหาการเหยียดผิว ได้มีการเปิดเผยสถิติการเหยียดสีผิวในวงการลูกหนังของอังกฤษ ในฤดูกาล 2017-2018 ออกมาปรากฏว่ามีกรณีของการเหยียดสีผิวเพื่อนร่วมอาชีพมากถึง 273 ครั้งในฤดูกาลนั้น และยังคงมีกรณีปัญหาเหล่านี้ให้เห็นอยู่ในลีกใหญ่ของยุโรปเป็นจำนวนมากทั้ง กัลโช่ เซเรียอา อิตาลี ลาลีกา สเปน และลีกเอิง ฝรั่งเศส
 
ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้มักจะเกิดขึ้นกับนักฟุตบอลจากทวีปแอฟริกา หรือนักเตะเลือดผสมที่มีต้นตระกูลสืบทอดเชื้อสายต่อกันมาจากบรรพบุรุษจนถึงรุ่นลูก รุ่นหลาน ส่วนใหญ่ปัญหานี้จะเกิดขึ้นจากแฟนบอลบางกลุ่มที่ยังมีแนวคิดเกี่ยวกับชาวผิวดำไปในทางด้อยค่า ไร้ความสามารถ วิธีการที่พวกเขาใช้ส่วนใหญ่ในสนามมักจะเป็นการร้องเสียงลิงเวลาที่นักฟุตบอลคนนั้นได้สัมผัสบอล หรือการโยนกล้วยลงไปในสนามให้นักฟุตบอลคนนั้นหยิบและโยนทิ้ง สิ่งเหล่านี้ถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ในการเหยียดผิวและเชื้อชาติของชาวยุโรปในขณะนั้น   
 
อย่างกรณีล่าสุดเกิดขึ้นกับ คาลิดู คูลิบาลี่ ปราการหลังทีมชาติเซเนกัลของสโมสรนาโปลี ในเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นที่สนามจูเซ็ปเป้ เมอัซซ่า เขาตกเป็นเป้าทำเสียงลิงล้อเลียนของแฟนบอล อินเตอร์ มิลาน ตลอดทั้งเกมแม้ว่าโฆษกสนามจะประกาศเตือนถึงสามครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล
 
ซึ่งในเกมการแข่งขัน จังหวะที่เขาไม่ควรจะโดนใบเหลืองและไม่ควรเป็นการทำฟาวล์กับถูกแปรเปลี่ยนเป็นเสียงนกหวีดที่ดังขึ้นบ่อยครั้งสุดท้าย คูลิบาลี่ ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้จึงปรบมือประชดผู้ตัดสินที่แจกใบเหลืองให้กับเขา ทั้งๆ ที่ตลอดทั้งเกมการแข่งขันเขาโดนเหยียดผิว ศักดิ์ศรี และความเป็นคนมาตลอดแต่ผู้ตัดสินกับไม่มีท่าทีใดๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กับแจกใบเหลืองที่สองและเป็นใบแดงไล่เขาออกจากสนามในช่วง 10 นาทีสุดท้าย
 
หลังเกมจบลงเรื่องนี้ก็ถูกประณามจากนักฟุตบอลและแฟนบอลทั่วโลกโดย คาร์โล อันเชลอตติ ออกมาตำหนิการกระทำของแฟนบอลทีมงูใหญ่ทันที และยังบอกว่าเขาพยายามเอ่ยปากขอให้ผู้ตัดสินหยุดเกมถึงสามครั้งแต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ จนทำให้นักเตะของเขาไม่สามารถทนแรงกดดันที่เกิดขึ้นได้ และส่งผลให้ไม่มีสมาธิในการแข่งขัน เพียงเพราะมีแฟนบอลบางกลุ่มที่พยายามเหยียดสีผิว
 
แต่ปัญหาการเหยียดสีผิวนั้นก็ได้มีการรณรงค์ให้หยุดการกระทำเหล่านี้จากแคมเปญของ Nike ในชื่อ Don’t Do It โดยถือเป็นแคมเปญ “ทรงพลัง” ในการยืนหยัดเพื่อความถูกต้อง แต่ที่เรียกเสียงฮือฮาได้สุดๆ คือ การขอร่วมของ Adidas แบรนด์คู่แข่งที่ Retweet แคมเปญนี้ของ Nike พร้อมข้อความว่า “ขอร่วมก้าวไปด้วยกันเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง (Together is how we move forward, Together is how we make change) ” เพียง 2 ชั่วโมงแรกหลังโพสต์ Don’t Do It ก็มียอด Retweet และยอด like จำนวนมากซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้คนส่วนใหญ่ต่างเห็นด้วยกับการเลิกและหยุดทำร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพียงเพราะเขามีสีผิวและเชื้อชาติที่แตกต่างกัน 
 
และไม่เพียงในวงการฟุตบอลเท่านั้น แต่เราหมายถึงทุกสาขาอาชีพ ที่ทุกๆ คนไม่ว่าจะสีผิวอะไรล้วนแต่เป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันทั้งสิ้น ไม่ควรมีใครที่ต้องโดนทำร้ายทางวาจาเพียงเพราะเขาคนนั้นมีสีผิว เชื้อชาติ ที่ไม่เหมือนคุณ เราควรหยุดและหันมาใส่ใจคุณค่าของความเป็นมนุษย์มากกว่าสีผิวหรือเชื้อชาติ เราหยุดปัญหานี้ร่วมกันได้
 
เรื่อง : นายสหรัฐ เย็นบำรุง

Top